เรื่องราวดีๆ จากประสบการณ์ของผม ที่เขียนขึ้นมา ไม่ได้คิดว่า “ผมอยู่เหนือกว่าคนอื่น” แต่เป็นแนวคิดที่ดี ที่เราควรจะต้องเติบโตในงาน และสิ่งที่ผมอยากจะแบ่งปันคือเรื่องสั้นที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการให้แง่คิดแก่พนักงานประจำ พนักงาน Freelance ที่หลายๆ คนคงเป็นมืออาชีพ เรื่องราวก็มีดังนี้ครับ เถ้าแก่ผู้มั่งคั่งมีที่อยู่หลายไร่ เลยคิดจะปลูกทำเป็นไร่ส้ม จึงได้จ้างคนสวนมา 4 คน คือ นายเอ นายบี นายซี และนายดี - นายเอเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักวิธีการปลูกส้มเลยแต่อยู่ละแวกนั้น เถ้าแก่จึงให้โอกาสสร้างรายได้ให้แก่เขา จึงว่าจ้างมาในราคาถูก แต่ด้วยนิสัยขี้เกียจ เช้าชามเย็นชาม ไม่ค่อยใส่ใจหรือสนใจอะไรมากนัก - นายบีเป็นคนเรียนรู้งานไว ขยันขันแข็ง ขยันเรียนรู้ เดินเขามาสมัครเพราะเห็นป้าย - นายซีเป็นคนที่พอรู้งานอยู่บ้าง และรู้ว่าอะไรที่เขาพอจะทำให้ส้มมีผลผลิตออกมาได้ เพราะว่าเขาเคยมีประสบการณ์มาบ้างจากการปลูกส้ม เขาถูกแนะนำจากคนสวนละแวกนั้น - นายดีเป็นคนสวนปลูกส้มมืออาชีพ มีอาชีพอื่นที่ทำอยู่ด้วย เถ้าแก่จ้างมาดูงานบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ได้เฝ้าสวนตลอด นายดีเป็นคนมีฝีมือ ชีวิตนี้ปลูกส้มมาค่อนชีวิต แต่ไม่ได้มีเงินทุนหนา คิดจะไปปลูกเองเพราะเชื่อว่ามีค่าใช้จ่ายสูง จึงคิดว่าขอเลือกเป็นคนสวนมืออาชีพดีกว่า เมื่อทั้ง 4 คนได้มีโอกาสมาทำงานในสวนเวลาผ่านไปหลายปี ทั้ง 4 คนให้ดูแลสวนของตนเอง เมื่อฤดูกาลนั้นผ่านไป - สวนของนายเอซึ่งเขาก็พยายามปลูกแบบหาความรู้จากหน้างาน แต่ผลผลิตที่ได้ก็แทบจะไม่ดีเอาเสียเลย ไม่ได้คิดจะศึกษาอะไรเลย จนมีคนละแวกนั้นที่เดินผ่านสวนถามนายเอว่า “ต้นมันจะตายหมดแล้ว ยังจะปลูกต่ออีกหรือ?” นายเอตอบอย่างสั้นๆ ง่ายๆว่า “ไม่เป็นไร สวนนี้ไม่ได้เป็นของผม เป็นของเถ้าแก่ ผมไม่กลัวหรอก ยังไงก็ได้เงินเดือน” - สวนของนายบี ให้ผลผลิตดี ทำกำไรทุกปี จนทำให้ไร่เถ้าแก่ได้รางวัล สร้างชื่อเสียงอย่างมาก แต่มีอยู่ปีหนึ่งเขาเกิดไม่พอใจเถ้าแก่ เพราะเขาคิดว่า ผลกำไรที่เขาควรจะได้ต้องมากกว่านี้ และคิดว่า “ไม่ยุติธรรม” เถ้าแก่จึงตัดปัญหาและความรำคาญ จึง “ไล่เขาออก” - ส่วนสวนของนายซี เขาตั้งใจและปลูกไป หมั่นดูแลสวนจนได้ผลผลิตงอกงาม สิ้นฤดูกาล ส้มที่ได้ของเขาก็สามารถนำไปขายได้ เขาเป็นคนพอเพียง เขาเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติม ศึกษาอย่างละเอียดมากขึ้น จนเขาเริ่มมีความมั่นใจว่า “วันนึงเขาจะมีสวนเป็นของตัวเอง” - นายดีด้วยความที่เป็นมืออาชีพ แวะมาดูสวนบ้าง แค่ดูสวนเพียงครู่เดียวก็วิเคราะห์ได้ว่า ต้องดูแลอะไรเพิ่ม แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ใส่ใจมันอย่างเต็มที่ เพราะงานที่เขาทำอยู่มีหลายที่ นานๆ มาที แถมรู้จักใช้คนอื่นทำงานแทนเขาอีก ก็จึงได้ตามสิ่งที่เขากะเกณฑ์จริงๆ เมื่อผ่านไปเกือบหลายปี เถ้าแก่เกิดภาวะขาดสภาพคล่องในธุรกิจอื่นที่ตนถือครอง จึงจำเป็นต้องไล่คนสวน ทั้ง 3 คนที่เหลือออก ก่อนสิ้นเดือนเถ้าแก่เรียกคนทั้ง 3 มาคุยดังนี้ “ขอแสดงความเสียใจด้วยที่เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายที่ผมจะต้องขายที่ดินที่ผมมีลง พวกคุณ 3 คนคิดว่าต่อไปจะทำอะไร” ทั้ง 3 คนตอบเถ้าแก่ว่า - นายเอ: กระผมจะหางานใหม่ครับ แต่ผมก็อายุมากแล้ว แต่จะลองหาดู ไม่รู้ว่าจะมีคนรับผมหรือเปล่า - นายซี: ผมคงจะหาที่ดินซักที่นึง ทำสวนในชีวิตบั้นปลายที่เหลือครับ - นายดี: ผมคงไปเป็นที่ปรึกษาที่อื่นต่อครับ เรื่องราวที่ผมเล่านี้ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องที่คาดเดาออกง่าย แต่ผมอยากให้อีกมุมมองคือ คนสวนทั้งหมดที่จ้างมา ไม่ใช่ “เถ้าแก่” คนทั้ง 4 ประเภทประกอบด้วย - นายเอ ชีวิตนี้ขอเป็นลูกจ้างประจำ คิดเสมอว่า ดีเสมอตัว ไม่ดีก็ต้องทน ทำไปเรื่อยๆ ยังไงก็ไม่ใช่เป็นเจ้าของสวน - นายบี อาจจะไม่ได้ต่างกับนายเอนัก แต่ชีวิตนี้ทำดีแค่ไหน ผิดใจกับเจ้าของ สิ่งที่เขาได้รับคือการ “ถูกไล่ออก” - นายซี ชีวิตนี้เข้าใจแล้วว่าจะทำอะไร มีความฝัน “หัวใจเถ้าแก่”จึงมีในตัวเขา - นายดี ฟรีแลนซ์มืออาชีพ ชีวิตนี้เลือกที่จะให้ฝันของคนอื่นเป็นจริง แต่ฝันของเขาอาจต่างไป เพราะความรู้มาก มีความคิดว่าเขาทำอย่างอื่นได้ดีกว่าและหากำไรจากผู้ไม่รู้ได้มากกว่า วันนี้คุณอยู่ในองค์กร ถ้าวันนึงบริษัทต้องปิดตัวลง - “ถ้าคุณเป็นลูกจ้าง คุณจะเลือกเป็นใคร?” คุณเคยคิดจะเป็นเถ้าแก่ไหม? ฝันหนะฝันได้ครับ แต่ทุกอย่างต้องสร้าง และไม่ได้มาง่ายเพียงข้ามคืน - แต่ถ้าคุณเป็น “เถ้าแก่” อยากฝากแง่คิดไว้ว่า “ถ้าเถ้าแก่ไม่มีลูกจ้าง คุณก็ไม่รอดเหมือนกันนะครับ” เถ้าแก่ต้องรับฟัง และเข้าใจลูกจ้างบ้าง อย่ามัวเน้นแต่ผลลัพธ์จนไม่ดูคนเลย
ที่มา : http://men.mthai.com/work/life-tips/2592.html
|